Bitcoin Addict เปลี่ยนเว็บไซต์ใหม่เป็น www.bitcoinaddict.com
ในสัปดาห์นี้ ความยากในการขุด Bitcoin (Bitcoin Mining Difficulty) พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 127.6 ล้านล้าน (Trillion) ก่อนที่จะมีการคาดการณ์ว่าจะปรับลดลงประมาณ 3% เหลือ 123.7 ล้านล้าน ในรอบปรับความยากครั้งถัดไปซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 9 สิงหาคมนี้ ตามข้อมูลจาก CoinWarz
เวลาการขุดบล็อกเฉลี่ยในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10 นาที 20 วินาที ขณะที่ข้อมูลจาก CryptoQuant เผยว่าในช่วงปลายเดือนมิถุนายนถึงกลางกรกฎาคม ความยากในการขุดเคยลดลงถึง 116.9 ล้านล้าน ก่อนจะกลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม
ความยากในการขุดและค่า Hashrate ซึ่งเป็นพลังประมวลผลรวมของเครือข่าย Bitcoin ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสามารถในการทำกำไรของนักขุด และเป็นกลไกที่รักษาค่า Stock-to-Flow ของ Bitcoin ซึ่งมีบทบาทในการปกป้องราคาจากภาวะการผลิตเกิน
ค่า Stock-to-Flow คือการวัดอัตราส่วนของปริมาณสินทรัพย์ที่มีอยู่ในระบบเทียบกับปริมาณที่ผลิตขึ้นมาใหม่ ยิ่งมีค่าสูง ยิ่งแสดงถึงความหายากของสินทรัพย์นั้น เช่น ทองคำมีค่า Stock-to-Flow ราว 60 ขณะที่ Bitcoin มีค่าสูงถึง 120 ซึ่งหมายความว่า Bitcoin หายากกว่าทองคำถึง 2 เท่า
กลไก "ปรับความยากในการขุด" ของ Bitcoin จะคำนวณทุก ๆ ประมาณ 2 สัปดาห์ หรือ 2,016 บล็อก เพื่อรักษาระยะเวลาเฉลี่ยของการสร้างบล็อกให้ใกล้เคียง 10 นาที
หากมีนักขุดเข้าร่วมมากขึ้นและ Hashrate เพิ่มขึ้น ระบบจะเพิ่มความยากในการขุดเพื่อป้องกันไม่ให้มีการสร้างบล็อกเร็วเกินไป ในทางกลับกัน หาก Hashrate ลดลง ระบบก็จะปรับความยากให้ลดลงตาม เพื่อให้การขุดยังดำเนินได้ในระดับที่เสถียร
ระบบนี้ช่วยควบคุมไม่ให้เกิดการขุด Bitcoin จำนวนมากเกินไปในช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งจะกดดันราคาลง
ด้วยระบบนี้ Bitcoin จึงถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ "ไม่ยืดหยุ่นต่อการผลิต" (Inelastic to Production) มากที่สุดในโลก และช่วยรักษาคุณค่าในระยะยาวได้อย่างมีเสถียรภาพ
อ้างอิง : cointelegraph.com
ภาพ theminermag.com