CTO Ledger เผยเบื้องหลังตัดสินใจยุติสนับสนุน Nano S! ยันยังใช้ต่อได้ แต่ควรอัปเกรด

Ledger บริษัทผู้ผลิตกระเป๋าฮาร์ดแวร์คริปโตชื่อดัง เตรียมหยุดให้บริการอัปเดตซอฟต์แวร์สำหรับ Ledger Nano S อย่างเป็นทางการ เนื่องจากข้อจำกัดด้านหน่วยความจำที่ทำให้ไม่สามารถใช้งานแอปคริปโตและระบบความปลอดภัยใหม่ ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

Charles Guillemet CTO ของ Ledger อธิบายผ่าน X (Twitter) ว่า แม้ Ledger จะเลิกผลิต Nano S ตั้งแต่ปี 2022 แต่ก็ยังคงให้บริการอัปเดตอยู่บ้างจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ด้วยพื้นที่หน่วยความจำเพียง 320 KB ซึ่งถูกใช้ไปเกือบหมดโดยแอปหลักอย่าง LedgerOS, Bitcoin, Ethereum และแอปสำหรับใช้งาน Exchange จึงไม่สามารถรองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้อีกต่อไป

ฟีเจอร์ใหม่ที่ Nano S จะไม่สามารถใช้งานได้ ได้แก่:

Multi-app runtimes
ระบบ clear-signing ขั้นสูง
ฟีเจอร์ตรวจสอบธุรกรรมผ่าน Ledger Sync
การ Swap บนตัวเครื่องผ่าน Uniswap และโปรโตคอลอื่น ๆ

Charles ย้ำว่า ฟีเจอร์เหล่านี้มีความสำคัญมากในยุคที่คริปโตมีความซับซ้อนและความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เพราะช่วยให้ผู้ใช้มีความชัดเจนมากขึ้น ใช้งานง่ายขึ้น และปลอดภัยมากขึ้น

ผู้ใช้ Nano S ยังใช้งานต่อได้ แต่ควรอัปเกรด

Ledger แนะนำให้ผู้ใช้พิจารณาอัปเกรดไปยัง Nano S Plus หรือ Nano X เพื่อรองรับอนาคตของโลกคริปโตที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ยังคงสามารถใช้งานฟังก์ชันพื้นฐาน เช่น ส่ง รับ และสวอป BTC, ETH และเหรียญหลักอื่น ๆ ได้ตามปกติ และสามารถนำ 24-word recovery phrase ไปกู้คืนกระเป๋าในอุปกรณ์ใหม่ของ Ledger หรือวอลเล็ตที่รองรับ BIP-39 ได้อย่างปลอดภัย

ดราม่าผู้ใช้: บางคนรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ซื้อใหม่

ข่าวการหยุดซัพพอร์ตทำให้เกิดกระแสไม่พอใจในโลกออนไลน์ ผู้ใช้บางรายมองว่า Ledger กำลังบังคับให้ซื้ออุปกรณ์ใหม่ และกลัวว่าการย้าย seed phrase อาจเสี่ยงต่อการโดนโจมตี

ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้าน DeFi อย่าง Marc Zeller จาก Aave มองว่านี่เป็นเรื่องปกติของฮาร์ดแวร์ที่มีอายุการใช้งานจำกัด แต่ยอมรับว่า Ledger ควรหยุดขาย Nano S ไปนานแล้วเพื่อความโปร่งใส

Ledger เดินหน้าสร้างความมั่นใจ เปิดตัว Recovery Key เพิ่มความปลอดภัย

นอกจากประกาศหยุดซัพพอร์ต Nano S แล้ว Ledger ยังเปิดตัว Recovery Key ซึ่งเป็นกุญแจกู้คืนสำรองแบบ physical ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถกู้คืนกระเป๋าได้อย่างรวดเร็วในกรณีฉุกเฉิน

‍

อ้างอิง : theblock.co