Bitcoin Addict เปลี่ยนเว็บไซต์ใหม่เป็น www.bitcoinaddict.com
Ethereum Foundation (EF) ประกาศในบล็อกโพสต์เมื่อวันพุธว่า กำลังปรับยุทธศาสตร์การใช้ทุน ETH ใหม่ให้ “รอบคอบและมีเป้าหมายชัดเจนยิ่งขึ้น” โดยมุ่งเน้นให้การดำเนินงานระยะสั้นสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ระยะยาวของ Ethereum ที่ต้องการเป็นแพลตฟอร์มหลักของโลกสำหรับแอปพลิเคชันกระจายศูนย์ (dApps)
EF ระบุว่า 18 เดือนข้างหน้านี้จะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องโฟกัสกับสิ่งที่เรียกว่า “ภารกิจวิกฤต” พร้อมยืนยันเป้าหมายหลักของมูลนิธิ คือการส่งเสริมให้ Ethereum เป็นระบบที่ “รันแอปได้ตามคำสั่งแบบไม่มีวันล่ม ถูกแทรกแซง หรือเซ็นเซอร์ไม่ได้”
แผนใหม่นี้เน้นการใช้ทุน ETH จากคลังสำรองอย่างระมัดระวัง และเตรียม “เข้าช่วยเหลือระบบนิเวศ” หากเกิดภาวะถดถอยหรือต้องรับมือกับช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของ Ethereum
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา EF มีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยมีการแต่งตั้งผู้ร่วมบริหารใหม่ 2 คน ได้แก่ Hsiao-Wei Wang นักวิจัยของ EF และ Tomasz Stanczak ผู้ก่อตั้ง Nethermind เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้ตอบสนองต่อความท้าทายของตลาด และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากฝั่ง Solana
EF ยังออกพันธกิจใหม่ที่เน้นย้ำอุดมการณ์ดั้งเดิมในแนวทาง cypherpunk เช่น ความเป็นส่วนตัวและความโปร่งใส แม้ว่าคำบางคำอย่าง “กระจายศูนย์” และ “ไร้การอนุญาต” จะเริ่มไม่ปรากฏในถ้อยแถลงล่าสุด ซึ่งนักวิชาการบางราย เช่น Paul Dylan-Ennis จาก University of Dublin ได้ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจ
EF สัญญาว่าจะเปิดเผยข้อมูลการถือครองและการขาย ETH อย่างโปร่งใสมากขึ้น โดยจะรายงานสถานะทางการเงินทั้งรายไตรมาสและรายปี ล่าสุด ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2024 มูลนิธิถือสินทรัพย์รวม 970 ล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล 788.7 ล้านดอลลาร์ และการลงทุนอื่นอีก 181.5 ล้านดอลลาร์
มูลนิธิยังวางแผนเพิ่มบทบาทในระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) เช่น การทำ Solo Staking, การปล่อย wETH ให้แพลตฟอร์มกู้ยืม, การกู้ stablecoin เพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์โลกจริง (RWA) และแหล่งรายได้แบบ onchain อื่น ๆ
รวมถึงการสนับสนุนให้บุคลากรในทีม “บริหารคลัง” พัฒนาทักษะการใช้เครื่องมือโอเพนซอร์สที่รักษาความเป็นส่วนตัว เพื่อให้การดำเนินการภายใน EF สอดคล้องกับหลักการของ “Defipunk”
ท้ายที่สุด EF ระบุว่า จะใช้ “งานวิจัย การสนับสนุน และการลงทุนเชิงกลยุทธ์” เพื่อสร้างระบบการเงินที่เป็นมิตรต่อ Ethereum โดยยึดหลักการปกป้องสิทธิ์การถือครองสินทรัพย์ของผู้ใช้ และขับเคลื่อน “สังคมเปิดในยุคดิจิทัล” ให้เกิดขึ้นได้จริงในวงกว้าง
อ้างอิง : theblock.co