JPMorgan ชี้ 4 ปัจจัยหนุน Ethereum แซงหน้าผลตอบแทน Bitcoin

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา Ethereum (ETH) ทำผลงานได้ดีกว่า Bitcoin (BTC) อย่างต่อเนื่อง โดยรายงานล่าสุดของ JPMorgan ชี้ว่า มาจาก 4 ปัจจัยสำคัญที่กำลังหนุนราคาและการยอมรับ Ethereum ให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในบางมิติ

4 ปัจจัยที่หนุน Ethereum เหนือ Bitcoin

1. ETF และโอกาสจากการ Staking
   • เดือนกรกฎาคม Ethereum ETFs มีเงินไหลเข้า 5.4 พันล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับ Bitcoin
   • นักลงทุนคาดว่า SEC จะอนุมัติให้ Spot Ethereum ETFs เสนอ Staking Yield โดยไม่ต้องถือขั้นต่ำ 32 ETH ซึ่งจะเพิ่มเสน่ห์ให้กับกองทุน
2. องค์กรใหญ่เริ่มถือ ETH ใน Treasury
   • ปัจจุบันมีบริษัทมหาชนราว 10 แห่ง ถือครอง ETH ในงบดุล รวมกว่า 2.3% ของซัพพลายหมุนเวียนทั้งหมด
   • บางบริษัทเตรียมรัน Validator เพื่อรับรายได้แบบ Passive Income หรือใช้กลยุทธ์ Liquid Staking/DeFi เพื่อสร้าง Yield เพิ่มเติม
3. ความชัดเจนด้านกฎระเบียบ
   • SEC ให้ความเห็นในระดับ Staff ว่าโทเคนจาก Liquid Staking อาจ ไม่ถูกจัดเป็นหลักทรัพย์
   • ช่วยลดความกังวลของสถาบัน แม้ยังไม่ถูกเขียนเป็นกฎหมายก็ตาม
4. โครงสร้าง ETF ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
   • การอนุมัติ In-kind Redemptions สำหรับ Bitcoin และ Ethereum ETFs ช่วยให้นักลงทุนสามารถไถ่ถอนหน่วยลงทุนเป็นคริปโตโดยตรง
   • ลดต้นทุน เพิ่มสภาพคล่อง และลดแรงกดดันจากการขายบังคับ (Forced Liquidation)

มุมมองระยะยาว

นักวิเคราะห์ของ JPMorgan มองว่า Ethereum ยังมี ศักยภาพการเติบโตที่สูงกว่า Bitcoin ทั้งในด้านการถือครองโดยองค์กรและการยอมรับจากสถาบัน เพราะปัจจุบันการถือ ETH ของภาคองค์กรยังตามหลัง BTC อยู่มาก ซึ่งหมายถึง ยังมี Room to Grow หากแนวโน้มการยอมรับดำเนินต่อไป

นอกจากนี้ การผ่าน กฎหมาย GENIUS Act ของสหรัฐในเดือนกรกฎาคม และการคาดหวังร่างกฎหมายโครงสร้างตลาดคริปโตฉบับใหม่ในกันยายน ยิ่งช่วยเสริมความเชื่อมั่นว่าการลงทุนใน Ethereum จะได้รับแรงหนุนในอนาคต

บทสรุป

Ethereum กำลังกลายเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับแรงหนุนจากทั้ง ETF, บริษัทมหาชน, DeFi และกฎระเบียบที่ชัดเจนขึ้น ขณะที่ Bitcoin ยังคงเป็น “ทองคำดิจิทัล” แต่ในแง่ของ การสร้างผลตอบแทนและโอกาสการเติบโต Ethereum กำลังไล่กดดันให้ตลาดจับตามากขึ้น

‍

อ้างอิง : theblock.co