Bitcoin Addict เปลี่ยนเว็บไซต์ใหม่เป็น www.bitcoinaddict.com
แม้ข้อมูลภาคการผลิตของสหรัฐฯ จะอ่อนแอ แต่ความคาดหวังในนโยบายเพิ่มสภาพคล่องจาก Fed และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทยักษ์ใหญ่ยังช่วยพยุงทั้งตลาดหุ้นและคริปโตให้ยืนอยู่ได้
มูลค่าตลาดคริปโตโดยรวมเพิ่มขึ้น 8.5% ตั้งแต่เดือนมีนาคม ขณะที่ S&P 500 ปรับตัวลดลงกว่า 5.3% ในช่วงเวลาเดียวกัน
นักเทรดคริปโตให้ความสนใจกับแนวคิด "Decoupling" หรือการแยกตัวจากตลาดหุ้น ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะทำให้คริปโตถูกมองเป็น “สินทรัพย์อิสระ” และมีบทบาทเฉพาะตัวมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ช่วง 10 วันที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวของ Bitcoin และ Altcoin หลัก ๆ ยัง สัมพันธ์ใกล้ชิดกับ S&P 500 โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดกังวลเรื่องสงครามการค้า
หากคริปโตสามารถแยกตัวออกได้จริง (Decoupling) จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ว่าเป็นสินทรัพย์ที่ "ปลอดภัยจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย" ในระดับโลก
ดัชนี S&P 500 เคยทำจุดสูงสุดในวันที่ 19 ก.พ. แต่ยังไม่สามารถกลับขึ้นไปยืนเหนือระดับ 5,800 ได้
แม้สหรัฐฯ จะมีความตึงเครียดทางการค้ากับแคนาดาและเม็กซิโก รวมถึงการเก็บภาษีนำเข้ากับหลายภูมิภาคหลัก แต่หุ้นยังสามารถยืนได้ดี:
นอกจากนี้ หุ้นยังได้แรงหนุนจาก ผลประกอบการ Q1 ที่ออกมาดีเกินคาด:
ผลลัพธ์เหล่านี้ช่วยคลายความกังวลเรื่อง "ฟองสบู่ AI" และการหยุดลงทุนจากสงครามการค้า
แม้ดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐจะร่วงลงต่ำสุดในรอบ 5 เดือนในเดือนเมษายน แต่ตลาดกลับหันไปโฟกัสที่แนวทางของ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มากกว่า
หลังจากลดขนาดงบดุลมาเป็นปี ตอนนี้ Fed เริ่มพูดถึงความเป็นไปได้ของการ กลับมาเพิ่มสินทรัพย์ (Asset Purchase) อีกครั้ง
แม้ความเคลื่อนไหวในแต่ละวันของคริปโตยังมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้น แต่ถ้ามองในระยะ 6 เดือน:
ซึ่งหมายความว่าคริปโต ไม่ได้เคลื่อนไหวตามหุ้นตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อมองในมุมมองระยะกลางถึงยาว
แม้ยังเร็วเกินไปจะบอกว่า S&P 500 ทำจุดต่ำสุดหรือสงครามการค้าสงบลงแล้ว แต่ตลาดหุ้นยังดูแข็งแกร่ง และบรรยากาศการลงทุนเริ่มกลับมาเสี่ยงมากขึ้นในฝั่งคริปโต แม้ยังเคลื่อนไหวสัมพันธ์กับหุ้น แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณของการ “แยกตัวบางส่วน” ที่อาจนำไปสู่การเติบโตแบบอิสระในอนาคต
อ้างอิง : cointelegraph.com
ภาพ fastcompany.com